เทคโนโลยีพลังงานความร้อนใต้พิภพ

เนื้อหา

เทคโนโลยีพลังงานความร้อนใต้พิภพในประเทศไทย (Geothermal Energy Technology in Thailand)

         พลังงานความร้อนใต้พิภพ (Geothermal energy) หรือที่รู้จักกันในรูปแบบของน้ำพุร้อน (Hot spring) เป็นแหล่งพลังงานทดแทนประเภทหนึ่ง สามารถทดแทนพลังงานเชิงพาณิชย์ เช่น ไฟฟ้าและน้ำมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งสามารถพัฒนาขึ้นมาใช้ประโยชน์ได้หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของน้ำพุร้อนเป็นสำคัญ การนำน้ำพุร้อนมาใช้ประโยชน์อย่างมีประสิทธิผลสูงสุด คือ การใช้ประโยชน์จากพลังงานความร้อนใต้พิภพแบบขั้นบันได [นัฐพร, 2562] โดยนำน้ำพุร้อนไปใช้งานในระบบที่ต้องการอุณหภูมิสูงก่อน เมื่อน้ำพุร้อนผ่านการใช้งานแล้วจะมีอุณหภูมิลดลง จากนั้นจึงนำน้ำพุร้อนไปใช้งานในระบบต่อไป เป็นลักษณะขั้นบันไดดังแสดงในรูปที่ 1

 

รูปที่ 1 การใช้ประโยชน์น้ำพุร้อนแบบขั้นบันได

         การมีแหล่งน้ำพุร้อนเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่บ่งบอกถึงการมีแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพของพื้นที่ ที่มีโอกาสจะพัฒนาขึ้นมาใช้ประโยชน์ได้หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของน้ำร้อนที่จะนำขึ้นมาใช้เป็นสำคัญ ประเทศไทยมีแหล่งน้ำพุร้อนจำนวนทั้งหมดประมาณ 97 แหล่ง ดังแสดงในรูปที่ 2 [ฟองสวาท และคณะ, 2551] แม้จะมีแหล่งน้ำพุร้อนกระจายอยู่ทุกภูมิภาคของประเทศก็ตาม แต่มิได้มีการศึกษาและพัฒนาขึ้นมาใช้ประโยชน์อย่างจริงจัง 

          

รูปที่ 2 แผนที่แหล่งน้ำพุร้อนในประเทศไทย [ฟองสวาท และคณะ, 2551]

สำหรับการใช้ประโยชน์จากพลังงานความร้อนใต้พิภพในด้านพลังงานสำหรับประเทศไทยนั้น พบว่า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (2531) ได้ทำการศึกษาและติดตั้งโรงไฟฟ้าที่ใช้พลังงานความร้อนใต้พิภพเป็นแห่งแรกในประเทศไทยและเป็นแห่งแรกในภูมิภาคเอเชีย ณ แหล่งน้ำพุร้อน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ โดยนำน้ำพุร้อนอุณหภูมิสูงกว่า 90 °C ที่อัตราการไหลตามธรรมชาติประมาณ 22.4 L/s จากบ่อเจาะสำรวจลึกประมาณ 100 m มาป้อนให้แก่ระบบ 2 วงจร (Binary cycle) ขนาดกำลังผลิต 300 kWe และสามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าได้ปีละประมาณ 1,200,000 kWh ดังแสดงในรูปที่ 3

 

รูปที่ 3 โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพฝาง จังหวัดเชียงใหม่

         มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (2548) ได้ทำการศึกษาเพื่อพัฒนาแหล่งน้ำพุร้อนบ้านโป่งน้ำร้อน อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย ไปใช้ในห้องอบแห้งและห้องเย็นสำหรับผลิตผลทางการเกษตร และมุ่งเน้นการหาตำแหน่งเจาะให้ได้มาซึ่งน้ำร้อน โดยการศึกษาเริ่มจากการรวบรวมและวิเคราะห์สภาพทางธรณีวิทยาของแหล่งน้ำร้อน ซึ่งเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของตำแหน่งแหล่งน้ำพุร้อนกับโครงสร้างรอยเลื่อนระดับภูมิภาค ตรวจสอบกลไกการเคลื่อนที่ของรอยเลื่อนด้วยการศึกษาระบบของรอยแตกที่เห็นได้ในบริเวณแหล่งน้ำพุร้อนและพื้นที่ข้างเคียง ผลจากการศึกษาและวิเคราะห์ระบบรอยแตก บ่งบอกว่า แหล่งกักเก็บน้ำร้อนของน้ำพุร้อนแม่จันมีโอกาสเป็น Damage zone ของรอยเลื่อนที่มีการเคลื่อนที่ทางราบคงระดับ ทั้งนี้โดยกำหนดหลุมเจาะบริเวณที่เป็น Damage zone ระหว่างปลายรอยเลื่อนที่มีการเคลื่อนที่ทางราบคงระดับ 2 แนว ที่วางตัวเหลื่อมต่อกัน (En echelon) รวมทั้งทำการสำรวจหาระดับความลึกที่น้ำถูกกักเก็บเอาไว้ ด้วยวิธีการสำรวจความต้านทานไฟฟ้าจำเพาะ (Resistivity survey) ผลจากการเจาะได้น้ำร้อนและพุเป็นน้ำพุร้อนที่ระดับความลึก 56 m มีอุณหภูมิปากหลุมประมาณ 94 °C และมีอัตราการพุของน้ำร้อน 20 m3/h น้ำพุร้อนที่ได้นำไปใช้ในการอบแห้งผลิตผลทางการเกษตร ด้วยห้องอบแห้งแบบรวมศูนย์ (Centralized drying room) ขนาดความจุ 3,000 kg ที่อุณหภูมิสูงสุดประมาณ 93 °C และห้องเย็นระบบทำความเย็นแบบดูดกลืน (Absorption system) ขนาดความสามารถการทำความเย็น 2 TR (Ton of refrigeration)  ที่อุณหภูมิต่ำสุดประมาณ -2 °C ดังแสดงในรูปที่ 4

 

รูปที่ 4 ห้องอบแห้งและห้องเย็นพลังงานความร้อนใต้พิภพจากแหล่งน้ำพุร้อนบ้านโป่งน้ำร้อน ตำบลป่าตึง อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย [มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2548]

 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (2549) ได้ดำเนินการประเมินศักยภาพแหล่งน้ำพุร้อนในประเทศไทย ซึ่งได้สำรวจและเก็บตัวอย่างน้ำพุร้อนจากแหล่งต่าง ๆ ทั่วประเทศไทย แล้วทำการประเมินศักยภาพโดยพิจารณาจากปัจจัยหลัก 3 ประการตามลำดับความสำคัญ อันประกอบด้วย ข้อมูลทางกายภาพ ได้แก่ อุณหภูมิ ความลึกของแหล่งกักเก็บอุณหภูมิของน้ำร้อนที่ผิวดิน และปริมาณการไหลของน้ำ เป็นต้น ข้อมูลสภาพสังคมเศรษฐกิจ ได้แก่ ข้อมูลด้านการคมนาคม และจำนวนประชากร เป็นต้น รวมทั้งข้อมูลด้านการเกษตร จากนั้นทำการจัดลำดับความสำคัญจากการประเมินศักยภาพในการพัฒนามาใช้ประโยชน์ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ ศักยภาพสูง ศักยภาพปานกลาง และศักยภาพต่ำ โดยพบว่ามีน้ำพุร้อนศักยภาพต่ำจำนวนมากถึง 52 แหล่ง จากจำนวนที่ทำการศึกษาทั้งหมด 97 แหล่ง รวมทั้งได้ทำการศึกษาเทคโนโลยีการเพิ่มศักยภาพการใช้ประโยชน์จากแหล่งน้ำพุร้อนอุณหภูมิต่ำ ด้วยเทคโนโลยีปั๊มความร้อนแบบอัดไอดังแสดงในรูปที่ 5 การศึกษาแนวทางการประยุกต์น้ำพุร้อนอุณหภูมิต่ำในการผลิตไฟฟ้าด้วยวัฏจักรแรงคินสารอินทรีย์ (Organic Rankine cycle, ORC) ดังแสดงในรูปที่ 6